เปิดทางสู้ ลุงพล ชะตากรรมชั้นศาลฎีกา หลังโดนคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่

ต้องบอกเลยว่ายังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา ทนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นของ ลุงพล ไชย์พล ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ทนายคู่ใจ วิคราะห์ชะตากรรมชั้นศาลฎีกา หลังโดนคุก 26 ปี คดีน้องชมพู่

ระบุว่า 1) หลังศาลอุทธรณ์ลงโทษ 26 ปี ยังมี “ช่อง” สู้ในศาลฎีกาไหม?

มีครับ คู่ความมีสิทธิ ฎีกา คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันอ่านคำพิพากษา โดยยื่นผ่านศาลชั้นต้น และต้องยก “ปัญหาข้อกฎหมาย”

ให้ชัด (ศาลฎีกาจะพิจารณาบนสำนวนเป็นหลัก) ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 และ 225 ซึ่งให้นำหลักการพิจารณาชั้นอุทธรณ์มาใช้ในชั้นฎีกาโดยอนุโลมครับ.

หมายเหตุ: ในคดีที่ไม่ถูก “ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง” จำเลยยังสามารถยกปัญหาข้อเท็จจริงได้ (เช่น กรณีโทษสูง/ร้ายแรง) ส่วนคดีที่ตามกฎหมาย

“ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง” ก็ยังมีช่อง ขออนุญาตฎีกา ต่อผู้พิพากษาตาม ม.221 ได้ หากเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญควรสู่ศาลสูงสุด.

2) ต้องมี “หลักฐานใหม่” เท่านั้นหรือ ถึงจะฎีกาได้?

ไม่จำเป็นต้องมี “หลักฐานใหม่” เสมอไปครับ

ศาลฎีกาโดยปกติ ชั่งน้ำหนักจากสำนวนเดิม และ ปัญหาข้อกฎหมาย เป็นหลัก (เช่น ตีความ “เจตนาย่อมเล็งเห็นผล” ถูกต้องไหม, รับฟังพยานวิทยาศาสตร์โดยไม่มีฐานทางกฎหมายเพียงพอหรือไม่ ฯลฯ)

อย่างไรก็ดี หากเป็นเรื่อง “วิทยาศาสตร์จำเป็น” คู่ความสามารถยื่นคำร้องให้ศาล สั่งตรวจพิสูจน์หรือให้ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงเพิ่มเติม ได้ตาม ม.244/1

(ศาลมีอำนาจสั่งตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เมื่อเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี) ซึ่งหลักการนี้ใช้ได้ในชั้นศาลด้วย.

ส่วนการ “สืบพยานล่วงหน้า/เพิ่มเติม” มาตรา 237 ทวิ–ตรี เปิดช่องเฉพาะกรณีจำเป็นเป็นพิเศษ (เช่น พยานเสี่ยงสูญหาย) ไม่ใช่เส้นทางปกติในการ “นำหลักฐานใหม่” มาเข้าศาลในชั้นฎีกา แต่พอใช้เป็นฐานเสนอเหตุจำเป็นเฉพาะกรณีได้.

3) ศาลฎีกามัก “ยืน” คำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่?

โดยสภาพ ภารกิจของศาลฎีกาเน้นปัญหาข้อกฎหมาย การกลับคำพิพากษาต้องพบความคลาดเคลื่อนสำคัญ เช่น ใช้บรรทัดฐานกฎหมายผิด, รับฟังพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือโดยขาดเหตุผลหนักแน่นตามกรอบ ม.227 เป็นต้น

จึง “ยืน” อยู่บ่อย แต่ก็มีกรณี “แก้” หรือ “กลับ” ได้เมื่อเหตุผลกฎหมาย/การรับฟังพยานหลักฐานไม่เป็นไปตามหลัก.

4) ประเด็น “เส้นผม/ขน 3 เส้น” กับ รอยตัดเฉียง 26 องศา สู้อย่างไร?

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชี้ว่าพยานวิทยาศาสตร์เรื่อง “รอยตัดเฉียง 26°” ที่พบในรถจำเลย สอดคล้อง กับรอยตัดบนผม/ขน ณ จุดพบศพ และถือเป็นหนึ่งในแกนเหตุผลเพิ่มโทษ

(ประกอบพยานแวดล้อมว่าเด็กไม่อาจขึ้นยอดภูเอง) ศาลจึงปรับฐานเป็น ฆ่าโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล และลงโทษรวม 26 ปี พร้อมยกเหตุไม่ให้ประกันในระหว่างฎีกา เพราะโทษหนัก–เสี่ยงหลบหนี.

5) ถ้าฎีกาแล้วคำพิพากษา “ยืน” เหมือนเดิม ต้องติดคุกครบ 26 ปีหรือไม่?

ไม่จำเป็นต้องครบทั้งหมด เพราะยังมี “กลไกลดโทษ/ปล่อยก่อนกำหนด” ตามกฎหมายราชทัณฑ์ เช่น

• ลดวันต้องโทษสะสม ตามชั้นนักโทษ (เช่น ชั้นเยี่ยม 5 วัน/เดือน ฯลฯ) และ

• พักการลงโทษ (parole) เมื่อรับโทษไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือ 1 ใน 3 ของโทษ แล้วแต่กรณี (ต้องมีคุณสมบัติอื่นประกอบ)

• พระราชทานอภัยโทษ/ลดโทษ ซึ่งออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเป็นครั้ง ๆ และกำหนดคุณสมบัติเฉพาะในแต่ละฉบับ

อำนาจ–เกณฑ์ทั้งหมดอยู่ใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 และกฎ/ระเบียบที่เกี่ยวข้องครับ.

เกณฑ์ปีต่อปีของ “อภัยโทษ” เปลี่ยนได้ตามพระราชกฤษฎีกาในวาระนั้น ๆ (เงื่อนไขผู้มีสิทธิ/ไม่มีสิทธิอาจต่างกัน) จึงต้องดูบทเฉพาะกาลของฉบับที่จะมีในอนาคตอีกชั้นหนึ่ง.

6) ถ้าเป็นทนาย—ควรแนะนำ “ฎีกา” ไหม หรือพอแค่นี้?

ควรฎีกา เพื่อใช้สิทธิครบถ้วน โดยเน้นกรอบต่อไปนี้:

• ปัญหาข้อกฎหมายหลัก: เกณฑ์ “ฆ่าโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล” ถูกยกใช้ถูกต้องหรือไม่ ในสถานการณ์ที่ผู้ตายไม่มีบาดแผลรุนแรง และสาเหตุการตายทางการแพทย์ชี้ไปทาง

“ขาดอาหารและน้ำ” (คดีนี้ศาลอุทธรณ์ใช้พฤติการณ์แวดล้อม + วิทยาศาสตร์ชี้ว่าเด็ก “ไม่อาจขึ้นภูเอง” แล้วโยงเจตนาเล็งเห็นผล) — จุดนี้เป็น “หัวใจฎีกา”.

• มาตรฐานรับฟังพยานวิทยาศาสตร์: ความชอบธรรม/น้ำหนักของ “26°” และการโยงตัวบุคคล—ขอให้ศาลวางมาตรฐานตรวจสอบวิธีวิทยา (อาจขอใช้ ม.244/1 เป็นเครื่องมือประกอบ).

• เหตุผลของศาลอุทธรณ์ที่อาจ “ไม่พอเพียง”: คัดคำวินิจฉัยจุดต่อจุด ว่าตีความพฤติการณ์บางประการ “เกินสมเหตุผล” หรือไม่ (ต้องโต้เชิงเหตุผล ไม่ใช่เพียงปฏิเสธทั่วไป).

สรุป: ฎีกา “มีเหตุผลต้องทำ” แต่ควรตั้งความคาดหวังอย่างเป็นจริง—ศาลฎีกาจะเปลี่ยนคำพิพากษาเมื่อพบ ความคลาดเคลื่อนทางกฎหมาย/หลักวินิจฉัย ที่มีนัยสำคัญครับ. (ดูกรอบ ม.227 ประกอบ).

7) “ชะตากรรมของลุงพล” ในชั้นฎีกา—ยืน แก้ หรือยก?

ทั้งสามทางเป็นไปได้ตามกฎหมาย:

• ยืน: หากศาลเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานสอดคล้องหลักกฎหมายและเหตุผล

• แก้: อาจ “ลดฐาน/ลดโทษ” ถ้าเห็นว่ามาตรฐาน “เล็งเห็นผล” ถูกนำไปใช้กว้างเกินไป หรือพยานวิทยาศาสตร์ไม่มั่นคงพอที่จะชี้ถึง “เจตนา” ระดับนั้น

• ยก: ต้องมี “ข้อสงสัยอันสมควร” ต่อแกนพยานที่ใช้ลงโทษจนไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากสงสัย (มาตรฐานสูง) ตามบรรทัดฐาน ม.227.

ขอบคุณข้อมูล : ทนายคู่ใจ