ข่าวทั่วไป
4 วิธีการของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปรับเทคติกจูนบาร์ซ่าสู่ยุคไร้เทียมทาน
ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัย บาร์เซโลน่า ก็เป็นทีมที่แข็งแกร่ง และมีลุ้นแชมป์ตลอดอยู่แล้ว ยุคโยฮัน ครัฟท์ ที่วางรากฐานฟุตบอลที่สวยงามให้บาร์ซ่า , ยุคหลุยส์ ฟาน กัล ที่มีริวัลโด้ เป็นแกนนำยุคแฟรงค์ ไรจ์การ์ด ที่มีโรนัลดินโญ่ และยุคของหลุยส์ เอ็นริเก้ ที่มี MSN คอยระเบิดประตูคู่แข่งให้กระจุย แต่ถ้าให้เลือกมาแค่ช่วงเวลาเดียว ที่ทั้งโลกยอมรับจากใจว่าบาร์เซโลน่าคือที่สุด เป็นผู้ไร้เทียมทาน และไม่มีใครเทียบได้ นั่นคือยุค 2008-2012 ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชายผู้ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมมาก่อนเลย กลับกล้าปฏิวัติ จนบาร์ซ่าไปไกลกว่าคำว่า “เก่ง” แต่เป็นทีมที่ไร้เทียมทาน 4 ปีของเป๊ป บาร์ซ่าได้แชมป์ลีก 3 สมัย แชมป์ยุโรป 2 สมัย โกปาเดลเรย์ 2 สมัย
จนถึงวันนี้เป๊ป ก็ยังเป็นแค่โค้ชคนเดียวที่พาบาร์ซ่า ได้แชมป์ยุโรปมากกว่า 1 ครั้ง “ผมชื่นชมเขาจากใจจริง เขาได้แชมป์มามากมายเหลือเกิน” เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันยอมรับ กวาร์ดิโอล่า เป็นโค้ชไม่กี่คนที่เฟอร์กี้ศรัทธา และจริงๆ ต้องการให้เป๊ป มาสานงานต่อที่โอลด์แทรฟฟอร์ดด้วย เพียงแต่น่าเสียดาย ที่มันไม่เกิดขึ้น เพราะเป๊ปไปบาเยิร์น มิวนิคก่อน แมนฯยูไนเต็ด จึงไปคว้า เดวิด มอยส์ มาแทน จุดที่น่าสนใจที่สุดของเป๊ป คือในช่วง 1 ปีแรก เขาต้องใช้ “ความกล้า” มหาศาล ในการเปลี่ยนแปลงทุกๆอย่าง การจะยกระดับทีมที่ดีอยู่แล้ว ให้กลายเป็นยอดทีมแห่งยุค แค่ฉลาดอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องมีความกล้ามากพอด้วย ปี 2008 ฤดูกาลสุดท้ายของแฟรงค์ ไรจ์การ์ด บาร์ซ่า กำลังอยู่ในขาลง
พวกเขาจบมือเปล่า มา 2 ซีซั่นติดต่อกัน ขณะที่อันดับในตารางคะแนนหล่นไปอยู่ที่ 3 นั่นทำให้ ไรจ์การ์ด อยู่กับทีมไม่ได้อีกแล้ว โจน ลาปอร์ต้า ประธานสโมสรขณะนั้น คิดอยู่นาน และตัดสินใจเลือก กวาร์ดิโอล่า จากทีมบาร์ซ่า เบ ขึ้นมาเป็นเฮดโค้ชแทน ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย เพราะเป๊ป ยังไม่เคยคุมสโมสรอะไรเลย เป็นคนไม่มีประสบการณ์อย่างสิ้นเชิง อยู่ๆก็มาคุมทีมอย่างบาร์ซ่าทันที มันไม่เร็วไปหรอ ?
สื่อมวลชน เชียร์ให้เลือกไมเคิล เลาดรู๊ปที่คุมเกตาเฟ่ตอนนั้น เพราะเคยเป็นนักเตะเก่ามาก่อน แถมมีประสบการณ์เป็นโค้ชมาแล้ว หรือไม่ก็ไปดึงเอาโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ยังว่างงานอยู่ ดีกว่ามาเริ่มนับหนึ่งใหม่จาก 0 กับเด็กรุ่นใหม่อย่างกวาร์ดิโอล่า แต่สุดท้ายโจน ลาปอร์ต้า เลือกเป๊ปอยู่ดี
“ผมคิดว่าเขาเหมาะที่สุด” ลาปอร์ต้าเผย “มีคนบอกให้เราเลือกมูรินโญ่ แต่ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลย” “การไปสู่ตำแหน่งแชมป์มันมีหลายวิธี แต่เราก็มีทางของเรา และแน่นอน ที่เราเลือกเป๊ป เพราะเขารู้ดี ว่าบาร์เซโลน่าควรเล่นแบบไหน”
ด้วยแรงสนับสนุน จากประธานสโมสร และการที่เขาเป็นอดีตกัปตันทีมมาก่อน นั่นทำให้แฟนบอลพอยอมรับได้ แต่กวาร์ดิโอล่าก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้เร็วที่สุด ว่าการเลือกครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง “รีบคาดเข็มขัดนิรภัยของคุณเร็ว” กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์ในการแถลงข่าวเปิดตัวเขาในฐานะโค้ชคนใหม่ “เพราะเรากำลังจะพุ่งทะยานกันแล้ว” ผู้สื่อข่าวหัวเราะ โค้ชหนุ่มคนนี้ไปเอาความมั่นใจล้นเหลือมาจากไหน แต่สิ่งที่นักข่าวคาดไม่ถึงเลย คือเป๊ป ไม่ได้พูดเล่น เขากำลังพาบาร์ซ่าพุ่งทะยานจริงๆ
1.เมสซี่ ต้องได้รับการแนะนำที่ถูกต้อง
สิ่งแรกที่ กวาร์ดิโอล่า รู้แน่ชัด คือบาร์เซโลน่าในทศวรรษต่อไป ต้องฝากความหวังไว้ที่ ลีโอเนล เมสซี่ เพราะนี่คือนักเตะที่จะเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร แต่ปัญหาคือตอนนั้นบาร์ซ่า มีขาใหญ่ของทีมอยู่ อย่าง โรนัลดินโญ่ กับ เดโก้ ซึ่งทั้งคู่คือบราซิเลี่ยนอย่างแท้จริง (เดโก้ เป็นโปรตุเกส โอนสัญชาติจากบราซิล) เฮฮา ปาร์ตี้ สนุกสนาน แต่ก็มีคำถามเรื่องระเบียบวินัย
เขาไม่อยากให้เมสซี่ โดนชักจูงไปในทิศทางนั้น ทั้งเรื่องนอกสนาม และในสนาม นอกสนาม เป๊ป ไม่อยากให้เมสซี่กลายเป็นเด็กหลงแสงสี เฮฮา ปาร์ตี้ แต่อยากให้เป็นเด็กดี มีวินัย และสนใจแต่เรื่องฟุตบอลเป็นหลัก ในสนาม เป๊ป รู้ดีว่า เมสซี่ มีทักษะสูงมาก ขนาดล็อกหลบคู่แข่งทั้งทีมได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้ เมสซี่เป็นเหมือนโรนัลดินโญ่ ที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัว มากกว่าทีมเวิร์ก คือจริงอยู่ คุณอาจไปได้ด้วยตัวคุณเอง แต่วิธีการที่ถูกต้อง คือ การเอาชนะแบบเป็นทีม “โรนัลดินโญ่ , เดโก้ และซามูเอล เอโต้ ไม่ได้อยู่ในแผนการเล่นของผม” จะมีโค้ชสักกี่คน ที่กล้าโละนักเตะบัลลงดอร์ทิ้งง่ายๆ แต่กวาร์ดิโอล่าทำ ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบข้าง แต่เขาไม่สน เพราะเป๊ปมีแผนการณ์ ในใจอยู่แล้ว
2.ใจเย็น และยอมยืดหยุ่น
โรนัลดินโญ่ และ เดโก้ ตัดสินใจย้ายทีมทันที ถ้าคุณโดนโค้ชใหม่ บอกว่าไม่อยู่ในแผน นักเตะระดับนี้ ก็พร้อมย้าย แต่เคสของ ซามูเอล เอโต้ เขาขอสู้ต่ออย่างเต็มที่ ในช่วงปรีซีซั่นที่ สกอตแลนด์ กับสหรัฐฯ เอโต้ แสดงให้กวาร์ดิโอล่า ประทับใจถึงความทุ่มเท ดังนั้นแม้จะไม่อยู่ในแผนตอนแรก แต่เป๊ป ยอมยืดหยุ่นได้
“ผมรู้ว่า ตอนแรกสุด ผมเคยบอกเอโต้ไปว่า เขาไม่ได้อยู่ในแผนแล้ว” “แต่ทัศนคติของเขา มันเป็นมืออาชีพจริงๆ ดังนั้นผมเองก็ต้องกลับมาทบทวนอีกครั้ง เราสามารถดึงศักยภาพของเอโต้ออกมาได้” ตอนแรกบาร์ซ่า มีแผนการหากองหน้าคนใหม่ ทั้งดาบิด บีญ่า , ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ หรือ เอ็มมานูเอล อาเดบายอร์ แต่แผนก็ต้องโดนเบรกไว้ชั่วคราว เพราะเป๊ป ไม่ขายเอโต้แล้ว “บางครั้งเราก็ไม่ได้ตัดสินใจถูกตลอดหรอก เราต้องยอมครึ่งทางบ้าง” “และเอโต้ควรได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเอง”
3.ลงลึกถึงรายละเอียด
จากยุคของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ที่นักเตะทุกคนจะสบายๆ โดยเฉพาะในการซ้อมที่มีบรรยากาศรีแล็กซ์มาก แต่พอกวาร์ดิโอล่าเข้ามา สิ่งแรกที่เขาทำก่อน คือเปลี่ยนกฎเรื่องเวลาซ้อม ก่อนการซ้อม 60 นาที นักเตะทุกคนต้องมาลงชื่อ การซ้อมปกติประจำวันเริ่ม 11 โมง นักเตะทุกคนต้องมาถึง 10 โมง
ในช่วง 1 ชั่วโมง เป็นเวลาที่คุณจะได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมทีม ได้โอกาสคุยกับสตาฟฟ์โค้ช และให้เวลากับสโมสร จากนั้นก็เปลี่ยนชุดให้พร้อม 11 โมงคือเริ่มซ้อมได้เลย การมาสาย 5 นาที จะโดนปรับเงิน 600 ยูโร และเพิ่มไปเรื่อยๆจนถึง 6 พันยูโร ซึ่งเป๊ป ไม่ได้ตั้งกฎมาขู่ เขาปรับเงินจริงๆ นอกจากนั้นหลังซ้อมเสร็จมีข้อบังคับว่านักเตะทุกคนต้องกินอาหารเที่ยงร่วมกัน ต้องใช้เวลาร่วมกันให้มากขึ้น ในจุดนี้ เป๊ป ซึ่งเป็นเด็กปั้นจากลา มาเซีย น่าจะเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมนอกสนาม มันจะส่งผลต่อเกมในสนามด้วย
เป๊ป ยังออกคำสั่งว่า ในช่วงวันจันทร์ ถึงศุกร์ ทุกคนห้ามกลับบ้านช้ากว่าเที่ยงคืน ซึ่งสโมสร นำโดยเป๊ป หรือกลุ่มผู้ช่วย จะโทรเช็กด้วยตัวเอง ถ้าหากใครไม่รับโทรศัพท์ หรือไปเที่ยวเตร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็จะโดนปรับเป็นหลักพันยูโร อาจจะดูยิบย่อยก็จริง แต่ เป๊ป มองว่า วินัย คือเรื่องที่สำคัญสำหรับนักเตะอาชีพ
4.กองกลางคือคีย์สำคัญของติกี้ ตาก้า
จากยุคที่พึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ กวาร์ดิโอล่าต้องการเปลี่ยนแนวทางการเล่น ให้ต่อบอลสั้นๆ ใช้ทีมเวิร์กในการโจมตีคู่แข่ง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ แผงมิดฟิลด์ ที่จะคอยขับเคลื่อนเกม ต้อง “เคลื่อนที่เป็น” เขาค่อยๆลดบทบาทของ ยาย่า ตูเร่ ลงจากเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวหลัก โดนดร็อปบ้าง และโดนถอยไปเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟบ้าง
ในฤดูกาล 2008-09 เป็นตัวจริง 24 นัดในลีก ปีต่อมา ลดลงเหลือ 22 นัด จากนั้นก็ปล่อยขายให้แมนฯซิตี้ และในปี 2008 นี่เอง ที่เขาดัน “เซร์คิโอ บุสเกตต์” ขึ้นมาจากทีมเยาวชน เพื่อให้มาเล่นร่วมกับ ชาบี เอร์นันเดซ และ อันเดรส อิเนียสต้า ไม่ใช่ยาย่า ตูเร่ ไม่เก่ง แต่ยาย่าไม่ใช่กองกลางแบบที่เป๊ปชอบ เพราะเขาเคลื่อนที่น้อยเกินไป เพียงแค่นั้นจริงๆ
“ถ้าไม่มีบุสเกตต์ ผมคงอยู่บาร์เซโลน่าต่อ จริงอยู่บุสเกตต์เป็นคนเก่ง แต่ผมก็ต้องการลงเล่น ผมไม่ยอมนั่งอยู่ข้างสนามหรอก” ตูเร่ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลที่ย้ายออกจากบาร์ซ่า ถือเป็นอีกหนึ่งความเด็ดขาด ที่เป๊ป เลือกเยาวชนอย่าง บุสเกตต์ มาก่อนตัวเก๋าอย่างยาย่า ตูเร่ แต่ก็ดูเหมือนมันเป็นการตัดสินใจที่ถูก เพราะบุสเกตต์ , ชาบี และ อิเนียสต้า ทำให้เกมแดนกลางของบาร์ซ่านั้นมีความสมดุล ทุกคนต่อบอลสั้นเป็น เคลื่อนที่ถูกต้อง เมื่อแดนกลางลงตัว ทำให้เปอร์เซ็นต์การครองบอลของบาร์ซ่าในยุคนั้นทะลุ 70-80% ต่อเกมตลอด
5.ปรับจูนกองหน้า เปลี่ยนตำแหน่งเมสซี่
“ช่วงเวลาที่อยู่กับกวาร์ดิโอล่า เป็นช่วงที่ผมเติบโตมากที่สุดในฐานะนักฟุตบอล” ลีโอเนล เมสซี่ เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้แบบนี้ หลังจากที่ ขายโรนัลดินโญ่ กับเดโก้ ออกไปแล้ว คำถามคือ คราวนี้ใครจะเป็นผู้นำ และแบบอย่างให้กับเด็กน้อยเมสซี่ล่ะ ?
เมสซี่เพิ่งอายุ 21 ปี เขาอาจจะเก่งเร็ว แต่ก็ยังต้องมีคนที่คอยแนะนำ และปรับจูนเขาให้เก่งกว่านี้ ซึ่งสุดท้าย ก็คงไม่มีใครเหมาะจะทำหน้าที่นี้ ไปมากกว่าตัว กวาร์ดิโอล่า เอง เป๊ป เปลี่ยนเมสซี่ จากปีกขวา เทคนิคดี เข้ามายืนเป็นกองหน้าตัวกลาง ทำให้เมสซี่ได้รู้ว่า เขามีดีกว่า ใช้ความเร็วแล้วเปิดบอลเขากลาง แบบปีกทั่วๆไป เมสซี่ไม่ใช่เฆซุส นาบาส ที่จะสปีดไต่ริมเส้น แล้วโยนให้กองหน้าโหม่ง เขาเก่งกว่านั้นมาก
เป๊ป ลองเทสต์ใช้งาน เอาเธียร์รี่ อองรี ไปยืนซ้าย ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่อยู่อาร์เซน่อล อองรีเล่นกองหน้าตัวเป้ามาตลอด แต่เป๊ปมองว่า ถ้า 4-4-2 อองรีเล่นหน้าเป้า นั้นโอเค แต่ถ้า 4-3-3 เขาต้องยืนตัวซ้าย จากนั้น สลับเอาเมสซี่ มายืนหน้าเป้า และเอโต้ ไปยืนปีกขวาแทน ซึ่งก็เป็นกลยุทธ์ที่แปลก เอโต้ เล่นหน้าเป้ามาตลอดให้ยืนปีก แต่เมสซี่เล่นปีกมาตลอด ให้ยืนหน้าเป้า
แต่พอทั้งสามคนเล่นด้วยกัน กลายเป็นว่า บาร์ซ่ายิงระเบิดเถิดเทิงจริงๆ และนั่นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่บาร์ซ่ายิงได้ 105 ลูก ในลาลีกาด้วย แฟนยุคปัจจุบัน อาจติดภาพว่า เมสซี่ ,ซัวเรซ, เนย์มาร์ คือสุดยอดแนวรุกไร้เทียมทาน แต่ในยุคนั้น เมสซี่,อองรี,เอโต้ ก็ร้ายกาจและจัดจ้านไม่แพ้กันเลยทีเดียว จากโค้ชหน้าใหม่ที่ไม่เคยคุมทีม ในปีแรกของเขากับบาร์เซโลน่า กวาร์ดิโอล่าได้แชมป์ทุกรายการที่ลงแข่ง
กลายเป็นว่า โจน ลาปอร์ต้า ตัดสินใจได้ถูกต้องมากๆ ที่ให้โอกาสเป๊ป เขาตอบแทนความไว้วางใจได้เกินคาดจริงๆ นี่คือเรื่องเล่าในปี แรกของเขากับบาร์ซ่า (ฤดูกาล 2008-09) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่เท่านั้น ตลอด 4 ปี เป๊ป ได้ คิดค้น ครีเอท อะไรใหม่ๆมากมาย จนบาร์ซ่าในยุคนี้ไร้เทียมทานของจริง ซึ่งเรามาไล่เรียงกันให้ฟังในวันหลัง อีกจุดหนึ่งทีเราสามารถสังเกตได้ ก็คือ กวาร์ดิโอล่า เป็นคนที่มาพร้อมความมั่นใจ และไอเดียมากมายเต็มหัวไปหมด เขาเป็นคนรุ่นใหม่ไปแรงตอนได้โอกาสคุมบาร์ซ่า เขามีอายุเพียง 37 ปีเท่านั้น ถือว่าเป็นกุนซือคนหนุ่มมากๆ
และมันก็เป็นโชคดีของเป๊ปด้วย ที่เขาอยากทำอะไร ทดลองอะไร ใช้ผู้เล่นคนไหน ก็ได้รับโอกาสให้ทำอย่างเต็มที่ สโมสรมีความเชื่อใจในตัวเขาอย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่เป๊ป ตอบแทนบาร์ซ่า ก็คือ ความสำเร็จมากมาย ถ้าไม่มีเป๊ปสักคน ไม่รู้ว่าบาร์ซ่าจะยกระดับมาถึงจุดนี้ได้ไหม
เกร็ดน่ารู้
จากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า คนรุ่นใหม่ อาจไม่มีประสบการณ์ แต่สิ่งที่พวกเขามีทดแทน คือไอเดียใหม่ๆ แนวคิดที่ไม่เหมือนใคร ,พลังใจสู้ ที่พร้อมทุ่มเทเต็มร้อย และที่สำคัญคือ “ความกล้า” ที่คนยุคก่อนหน้านี้อาจไม่มี และมันก็สอดคล้องพอดี ที่บาร์ซ่าก็กล้า รับไอเดียของเป๊ปเหมือนกันโดยไม่สนว่านี่คือเด็กรุ่นใหม่
ลองคิดดูว่า เป๊ป สั่งให้ขายโรนัลดินโญ่ แต่คนในองค์กรคอยตัดขา เตะถ่วง ไม่ยอมขาย แบบนี้ต่อให้เป๊ปมีไอเดียแค่ไหน ก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี จริงๆ เชื่อว่าทุกสโมสร หรือทุกองค์กร ก็มีโอกาสจะได้ร่วมงานกับคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดนั่นล่ะ เพียงแต่แนวทางการดำเนินงานของแต่ละองค์กรอาจจะแตกต่างกัน
บางที่ อาจเลือกประสบการณ์ไว้ก่อน เน้นเพลย์เซฟ ไม่จำเป็นต้องเอาความคิดของคนรุ่นใหม่ มาคิดให้แหวกแนวอะไร อะไรที่มันเคยดีอยู่แล้ว ก็ยึดไว้ อย่าไปเปลี่ยนแปลง ถ้าคนรุ่นใหม่ ที่มีพลังพร้อมไอเดียเต็มหัว ไปอยู่ในองค์กรแบบนี้ก็เหนื่อยหน่อย แต่ก็มีอีกหลายองค์กรมากๆ ที่กล้าท้าทาย และเปิดรับสิ่งต่างๆจากคนรุ่นใหม่ เพื่อเดินหน้าไปสู่อนาคตที่รออยู่
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนรุ่นใหม่ และพร้อมจะคิดอะไรสร้างสรรค์อยู่ตลอด การเลือกสถานที่ทำงานก็สำคัญมาก ความสามารถอันมากมายของเรา จะไม่ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์เลย ถ้า คนในองค์กร ไม่เห็นคุณค่าของมัน เหมือนสำนวนที่เขาพูดกันนั่นล่ะครับ ทำงานผิดที่ อีกสิบปีก็ไม่เจริญ!
