ยังคงน่าจับตามอง สำหรับสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยทางด้านของ วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กว่า “เขมร ซ่อน ศึก! เขมรร้อง UN เงียบๆ ที่ผ่านมา ตีปี๊ป ออกข่าวแต่ว่า ไปฟ้อง ICJ ศาลโลก ปั่นหัว รัฐบาลไทย คนไทย
แต่ใช้ วิธีฟ้อง UN ตามคาด ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ อ้างไทย ไม่พอใจ ตั้งแต่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ชี้ ทหารไทยล้ำแดนกัมพูชา แล้วเปิดฉากยิงก่อน ทำให้ทหารเขมรเสียชีวิต
แถม ซัด “แม่ทัพภาค2” ขู่ใช้กำลัง และ  กลุ่มหัวรุนแรง หวังยึดดินแดนเขมร ชี้เป็น ความขัดแย้ง 2 ชนชาติ หวังให้ตรงแนวทาง UN เสนอเข้า วาระ UNGA ที่ปกติจะประชุม ทุกๆกันยายน ของทุกปี
ฝ่ายไทย ส่งเอกสารชี้แจง UN ตามหลัง ยัน เขมรยิงก่อน ทหารไทยป้องกันตัว ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ถูกลาก จากเรื่องของสองประเทศเพื่อนบ้าน ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ และ จากนี้ไปการต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศระหว่างไทยกับกัมพูชา จะยิ่งเข้มข้นขึ้น
หลัง ทูตกัมพูชาประจำ UN ส่งหนังสือของ รัฐบาลกัมพูชา เรื่องการปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา เมื่อ 28 พค.2025 ที่ผ่านมา ไปยัง UN พร้อมแนบเอกสารของรัฐบาลกัมพูชา ยื่นเคลม 3 ปราสาทและ1 พื้นที่ต่อศาลระหว่างประเทศ ICJ เมื่อ 15 มิย.2025
วันครบรอบ 63 ปีที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดยต้องการให้ บรรจุเป็นวาระของ UNGA ซึ่งการประชุมโดยปกติแล้วจะมีในช่วงเดือนกันยายน ของทุกปี  ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า
การปะทะกันในวันที่ 28 พค. นั้น ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเริ่มยิ่งก่อนและอ้างว่า แม่ทัพภาค2 ของไทย ขู่จะใช้กำลัง และมีกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรง เคลื่อนไหว ที่อาจจะนำไปสู่ความเกลียดชังขัดแย้งระหว่างสองชนชาติ
ขณะที่ ทูตไทยประจำUN ได้ส่งหนังสือของ รัฐบาลไทย ชี้แจงไปลงวันที่ 18 มิถุนายน 2025 ยืนยันว่า ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน ดังนั้นทหารไทย จึงต้องป้องกันตัวเอง ยืนยันว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาฝ่ายไทยรักษาความสัมพันธ์อันดีแต่เหตุเกิดในระหว่างลาดตระเวนตามปกติ
และฝ่ายกัมพูชา ได้ยิง ทหารไทย โดยไม่ได้แจ้งเตือนก่อน ทำให้ต้องมีการป้องกันตนเอง อีกทั้งที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลง MoU ปี2000 เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาฝ่ายไทย พยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการพูดคุยเพื่อหาทางออก
ทั้ง GBC และ JBC พร้อมยืนยัน ว่า รัฐบาลไทย ไม่รับเขตอำนาจศาลโลก รัฐบาลไทย. ยืนยันจุดยืนว่าประเทศไทยจะไม่ยินยอมให้มีการพยายามดำเนินคดีฝ่ายเดียว ความพยายามดังกล่าว ไม่มีผลทางกฎหมาย และขัดต่อหลักการพื้นฐานของความยินยอมของรัฐที่เป็นพื้นฐานของกรอบเขตอำนาจศาลของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ”
ขอบคุณข้อมูล: Wassana Nanuam