ผู้พันเบิร์ด เผย เรื่องเล่าจากรองแม่ทัพภาค 2 เปิดปมในใจกัมพูชา

ยังเป็นประเด็นข้อพิพาษที่สังคมต่างจับตามอง ระหว่างไทย-กัมพูชา ล่าสุด พลตรี วันชนะ สวัสดี หรือ ผู้พันเบิร์ด รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความว่า ““ปมในใจ แพ้ไทยมาตลอด”เรื่องเล่าเล็กๆจากรองแม่ทัพภาค2 ที่ผมได้มีโอกาสนั่งสนทนากัน

เรื่องมีอยู่ว่าในเทศกาลประจำปี เช่น ปีใหม่หรือสงกรานต์ กองกำลังทั้งสองฝ่ายก็เห็นตรงกันว่าจะจัดการแข่งขันกีฬาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์

ระหว่างหน่วยในพื้นที่ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราตกลงกันว่าจะจัดแข่งมวยกับวอลเลย์บอลสำหรับมวยนั้นเราจะจัดกัน 8คู่โดยคุยกันว่าจะให้ชนะ

ประเทศละ ถคู่ จะได้เสมอๆกัน ก็เลยจัดประกบมวยแบบชนะ 4 แพ้4 ส่วนวอลเลย์บอลเราก็จะเล่นกันแบบสนุกๆ ใช้ทหารในพื้นที่แข่งกัน

แต่ด้วยความที่มีปมในใจของเขมรเรื่องอยากที่จะเอาชนะไทยแม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็จะเอา พอถึงวันแข่งจริงเขมรได้มีการเปลี่ยนตัวนักมวย 4 คน

เพื่อต้องการที่จะชนะไทยให้ได้ทั้ง 8 คู่ โดยอ้างเหตุผลว่านักมวย 4คนเดิมที่ปรพกบแต่อ่อนกว่าไทยนั้นป่วยไม่สามารถมาแข่งได้

ส่วนวอลเลย์บอลก็ไปเอาตัวกองทัพมาจากส่วนกลางทั้งทีม เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ผมนึกย้อนและไม่แปลกใจเลยว่า ผู้นำของ กองทัพในตอนนั้น

กับนายกของเขมรในตอนนี้เป็นคนคนเดียวกันที่ชอบคือเล่นการเมืองแบบ 5 บาท 10 บาทส่วนการแข่งขันกีฬาตามเทศกาลก็ต้องการเอาชนะแบบ สลึงสองสลึงก็จะเอา

ผมจึงมีความเห็นว่าเราไปวัดกันที่กีฬาซีเกมส์ปลายปีนี้เลยจะดีกว่าไหม ดังนั้นเราลองมาดูสถิติการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ผ่านมา

โดยไทยได้เหรียญทองสะสม 2,453 เหรียญมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนเขมรได้เหรียญทองสะสมเพียง 159 เหรียญ โดยทั้ง 159 เหรียญนั้น

ได้มากที่สุดคือครั้งที่ตนเองเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 32 ได้ 81 เหรียญแต่ก็ไม่ใช่เจ้าเหรียญทองนะ โดยมีอยู่ 30 เหรียญที่เป็นกีฬาพื้นบ้านของตนเอง

และเป็นกีฬาที่ตนแก้ไขกติกาใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง แต่ถ้าจะให้ลงรายละเอียดเฉพาะ2ชนิดกีฬาคือมวยและวอลเลย์บอลก็มีตามนี้

วอลเลย์บอลนั้นมีทั้งหมด 46 เหรียญไทยได้ไป 24 เหรียญทองส่วนเขมรไม่เคยได้เหรียญทองเลย ส่วนมวยนั้นเอาครั้งที่เขมรเป็นเจ้าภาพก็ได้ไทยได้ไปทั้งหมด 9เหรียญทอง

ส่วนเขมรนั้นได้ 1 เหรียญทองเราไปวัดกันที่ซีเกมส์ปลายปีนี้เลยดีกว่าที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในห้วงระหว่างวันที่ 9 ถึง 20 ธันวาคม 2568 ซัว-สะ-เดย์”

ขอบคุณข้อมูล: Wanchana Sawasdee