ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมจับตามอง สำหรับชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ก่อนหน้านี้ได้มีการปะทะกัน โดยทางทาง เว็บไซต์ cambodianess ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นักวิชาการกัมพูชา ในหัวข้อ “ทำไมไทยยังคงจับกุมทหารกัมพูชา” บทวิเคราะห์จาก คิน เพีย (Kin Phea) ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ราชบัณฑิตยสภากัมพูชา (Royal Academy of Cambodia)
ได้แสดงให้เห็นถึง 2 เหตุผลที่ไทยต้องการว่า จับทหารเป็นตัวประกัน และอยากยั่วยุให้กัมพูชาละเมิดข้อตกลงอย่างอุกอาจ พร้อมย้ำว่า ทหารไทยไม่พอใจกับข้อตกลงหยุดยิงและยังมีความตั้งใจทำลายมัน
เมื่อถามถึงสาเหตุที่กองทัพไทยไม่ปล่อยทหารที่ถูกจับทั้งหมด ?
คิน เพีย ตอบว่า การจับตัวทหารกัมพูชา นับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ทรยศความจริงใจที่กองทัพกัมพูชามีให้ รวมถึงต้องการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ฝ่ายไทยแสร้งเป็นมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจับมือในวันที่ 29 กรกฎาคม 8 ชั่วโมง หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ การกระทำเช่นนี้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายและจริยธรรมระหว่างประเทศ และนั่นคือเหตุผลที่ไทยต้องปล่อยตัวทหารที่เหลืออยู่
ในตอนแรก ทหารไทยจับตัวทหารกัมพูชา 21 ราย แต่ มี 1 รายเสียชีวิตลง และอีก 2 รายถูกส่งกลับ ในวันที่ 1 สิงหาคม มีรายงานว่า ทหารรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนทหารอีกราย มีอาการทางจิต เนื่องจากถูกทหารไทยทรมาน พวกเขาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ อนุสัญญาเจนีวา และข้อตกลงหยุดยิง
จากการกระทำเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่า กองทัพไทยใช้กฎแห่งป่า (law of the jungle) ไม่เคารพข้อตกลงหยุดยิง หรือกฎระหว่างประเทศ พวกเขายังคงแสดงความโหดร้ายเช่นนี้ โดยมีกองกำลังติดอาวุธสนับสนุน เช่นเดียวกับชาวป่าเถื่อน ในช่วงศตวรรษที่หนึ่งและสอง ทหารเหล่านั้นไม่ใช่เชลยศึก แต่ถูกจับเป็นตัวประกัน
เมื่อถามว่า มีแรงจูงใจอื่นอีกหรือไม่ ที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเก็บทหารที่เหลือไว้ ?
คิน เพีย ตอบว่า ทหารกัมพูชาอาจถูกใช้เพื่อยั่วยุฝ่ายกัมพูชา ต้องการให้กัมพูชาแสดงอย่างแข็งกร้าว และละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในที่สุด จากที่เห็นเร็วๆ นี้ กองทัพไทยได้รุกรานดินแดนอธิปไตยและก่อให้เกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง หลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้
พวกเขากระทำต่อพวกเรามากมาย รวมถึงวางลวดหนามในพื้นที่อันเซส การใช้เครื่องจักรกลหนักทำลายบ้านเรือนของพลเรือน การโจมตีทหารแนวหน้าของกัมพูชาด้วยหนังสติ๊ก และการสร้างสนามเพลาะบนดินแดนกัมพูชา ไทยกำลังทดสอบความอดทนของกัมพูชาด้วยการใช้กลอุบายเหล่านี้ กระตุ้นให้ทหารกัมพูชาเปิดฉากโจมตีก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้อ้างสิทธิ์ป้องกันตนเอง
นั่นเป็นสิ่งที่กองทัพไทยปรารถนามาตลอด เพราะเป็นพวกชอบสงคราม ผมกำลังบอกว่า พวกเขากระหายสงคราม เพราะพวกเขาเริ่มต้นการปะทะเพื่อช่วงชิงอำนาจให้กองทัพ และเพื่อผลประโยชน์ของผู้บัญชาการ เพื่อสนองความกระหายในดินแดนกัมพูชา ประเทศไทยต้องการดินแดนกัมพูชามาโดยตลอด ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนจะยังคงดำเนินต่อไปในรุ่นต่อๆ ไป หากกัมพูชายังคงอ่อนแอและไม่สามารถกำหนดเขตแดนได้
เมื่อถามต่อว่า นอกจากเรียกร้องระหว่างประเทศแล้ว กัมพูชาจะกดดันไทย เพื่อให้ปล่อยทหารที่เหลือทั้งหมดในเร็วๆนี้ ?
คิน เพีย ตอบว่า สิ่งที่เราทำ คือกดดันไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยทุกวิถีทาง ทั้งการทูต ประชาคมระหว่างประเทศ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและสมัชชาใหญ่ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องส่งจดหมายถึงประเทศอื่นๆ ที่ยืนหยัดต่อความยุติธรรม ความจริง และสันติภาพกับประเทศของเรา
เราสามารถส่งจดหมายไปยัง จีน สหรัฐ มาเลเซีย ฝรั่งเศส อังกฤษ สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ เราต้องพยายามทุกวิถีทาง ทั้งชาวกัมพูชาในประเทศและต่างประเทศ ต้องร่วมประท้วงกับการรุกรานของไทยต่อไป เพื่อหยุดยั้งการรุกรานเหล่านี้ และเรียกร้องให้ปล่อยทหารกัมพูชาทันทอย่างไม่มีเงื่อนไข
อีกเรื่องที่สำคัญ คือ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และความร่วมมือในระดับสากลบันทึกการกระทำผิดของฝ่ายไทยทั้งหมด รวมถึงยื่นคำร้องที่เข้มแข็ง คัดค้านทุกกิจกรรม สถานที่ กรอบเวลา และรวบรวมหลักฐานทั้งหมด เพื่อเปิดโปงไทยต่อประชาคมโลก ไม่ใช่ว่าเราเลือกใช้กำลังทหาร เพื่อจะยุติความขัดแย้งชายแดน แต่เรากำลังใช้กลไกทางการทูตและกฎหมายกับประเทศไทย
เมื่อถามว่า จากการละเมิดเหล่านี้ ไทยจะได้รับโทษตามกฎหมายระหว่างประเทศอะไรบ้าง ?
คิน เพีย ตอบว่า อย่างแรก ค่อนข้างยาก หากจะพูดเรื่องนี้ในระหว่างที่ระเบียบโลกมีความคลุมเครือ อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของประเทศจะถูกทำลายลง เนื่องจากความไม่แน่นอน และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ อย่างที่สอง ผมเชื่อว่า ไทยจะสูญเสียความไว้ใจจากประชาคมระหว่างประเทศ เพราะไม่เคารพในข้อตกลงหรือเครื่องมืออื่นๆ พร้อมย้ำว่า “ไทยจะไม่ได้รับความไว้ใจจากนานาชาติ”
อย่างที่สาม ผมคิดว่า จะมีผลกระทบด้านการทูต เศรษฐกิจ และการค้าด้วย แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า ประชาคมระหว่างประเทศจะใช้มาตรการไหนเพื่อกดดันไทย การกดดันทางการทูต เศรษฐกิจ และการทหารเหล่านี้ จะทำได้ก็ต่อเมื่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติเห็นชอบเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูล: cambodianess