เรียกว่าทำเอาชาวเน็ตต่างพากันถกเถียงกันสนั่น เมื่อ หมอสมิทธิ์ ศรีสนธิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช และนิติวิทยาศาสตร์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Smith Fa Srisont ถึงหลักฐานเส้นผมคดีลุงพลว่า “กรณีการตรวจเส้นผมในคดีลุงพล ผมขอออกความเห็นนะครับ (ยาวมากๆ เพราะมีความเห็นและอ้างอิงหลายเรื่อง อาจต้องค่อยๆ อ่านกันนะครับ)
***edit เพิ่ม มีคนบอกว่ายาวไป ลองหาในคอมเม้นดูครับ มีคนสรุปแบบสั้นๆ ให้ละครับ แต่ส่วนตัวอยากให้ลองอ่านทั้งหมดดูนะครับ***
ขอแจ้งก่อนว่า ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นของซึ่งมีการอ้างอิงหนังสือวิชาการ งานวิจัย รายงาน และกรณีดังของต่างประเทศในอดีต
ซึ่งต่างจากความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ในคดีได้ และเรื่องนี้เป็นความเห็นของผมเฉพาะการใช้หลักฐานเส้นผมเท่านั้น จึงไม่ได้บอกว่าคดีนี้ลุงพลผิดหรือไม่ผิด
อันดับแรกขอสรุปข้อมูลทางคดีที่ได้มาจาก คำพิพากษา และเพจต่างๆ ที่แชร์เรื่องนี้
โดยจากคำพิพากษาทั้งชั้นต้นและอุทธรณ์ สรุปได้ว่า มีการเก็บเส้นผมได้ 30 เส้น จากบริเวณรอบจุดที่พบศพ และอีก 2 เส้น จากในรถของลุงพล แล้วมีการตรวจเส้นผมหลายอย่าง สรุปผลการตรวจที่สำคัญดังนี้
1. การตรวจโดยใช้กล้องจุลทรรศน์พบว่า เส้นผม 30 เส้นถูกตัดทั้งหมด โดยเส้นผม 2 ใน 30 เส้นจากบริเวณรอบจุดที่พบศพ กับ เส้นผม 1 เส้นในรถ
มีการถูกตัดในลักษณะเหมือนกันในองศาที่ใกล้เคียงกัน ( 2 เส้นในที่เกิดเหตุ = 26 กับ 29 องศา // 1 เส้นในรถ = 26 องศา)
และมีรอยกระจุกของเส้นผมเหมือนกัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นพยานในศาลสรุปว่า เส้นผมทั้ง 3 เส้นถูกตัดพร้อมกันในครั้งเดียวกันด้วยวัตถุมีคมชนิดเดียวกัน
คนตัดเส้นผมดังกล่าวต้องเป็นคนเดียวกัน และตัดในลักษณะเส้นผมอยู่ชิดติดกัน โดยผมทราบจากเพจต่างๆ ว่า ความเห็นดังกล่าวอ้างอิงจากงานวิจัยนี้
” ซึ่งคนตีพิมพ์งานวิจัยนี้คือนักวิทยาศาสตร์ที่ให้ความเห็นตามข้างต้นครับ
2. การตรวจ mitochondria-DNA ของเส้นผม พบว่า ผลการตรวจเส้นผมบริเวณรอบศพหลายเส้น มีผล mitochondria-DNA ตรงกับกระดูกของน้องชมพู่
ขออธิบายวิธีการตรวจนี้นะครับ ปกติการตรวจเทียบวัตถุพยานเพื่อระบุตัวบุคคลเราจะตรวจโดยใช้วิธี STR-DNA แต่เส้นผมที่ไม่มีรากจะตรวจแบบนี้ไม่ได้
ได้แค่ตรวจ mitochondria โดยผล mitochindria จะระบุได้แค่ว่า มาจากสายพันธ์มารดาเดียวกัน หมายถึง ยาย แม่ พี่น้องของแม่ไม่ว่าหญิงหรือชาย
ลูกไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ทั้งหมดจะมี mitochondria-DNA เดียวกัน โดยไม่สามารถระบุชี้ชัดได้ว่าเป็นใคร ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการแปลผล
3. การตรวจซิงโครตรอนของเส้นผมหลายเส้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ตรวจ มีความเห็นว่า เส้นผมมาจากคนเดียวกัน ที่ความน่าจะเป็นตั้งแต่ 60-85%
การตรวจซิงโครตรอนเป็นวิธีการดูการเรืองแสงของธาตุในวัตถุที่เราต้องการตรวจ เช่น ในกรณีนี้คือเส้นผม ซึ่งกรณีนี้ตรวจธาตุทั้งหมด 6 ชนิด
ได้แก่ ฟอสฟอรัส ซิลิกอน ซัลเฟอร์ คลอรีน โพแทสเซียม และแคลเซียม ส่วนความเห็นแย้งของผมมีดังนี้
1. การตรวจเส้นผมโดยใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อระบุชี้ชัดว่า เส้นผมดังกล่าวเป็นของบุคคลคนไหน เป็นวิธีที่ FBI เคยใช้ แล้วมีปัญหามากๆ
เพราะเป็นการแปลผลที่เกินจริง ทำให้จับแพะเข้าคุกเป็นจำนวนมาก จน FBI ต้องออกมาขอโทษ และทำรายงานว่า 95% ของคำให้การของนักวิทยาศาสตร์ FBI ในเรื่องนี้
เป็นการพูดเกินจริง มีสารคดีเรื่องนี้ ดูได้จากนี้เลยครับ ” และข่าวตามนี้ ”
2. การตรวจเส้นผมโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ สามารถตอบคำถามได้เพียงบางอย่างเช่น เส้นผมหรือขนเป็นของคนหรือสัตว์ เส้นผมหรือขนจากส่วนไหนของร่างกาย
เส้นผมถูกถอนหรือตัด แต่ไม่สามารถระบุชัดๆได้ว่าเป็นของใคร ปัจจุบันจึงต้องใช้การตรวจ DNA ร่วมด้วยถึงจะระบุได้ว่าเป็นของใคร
เห็นได้จากรายงานทางนิติวิทยาศาสตร์ของ USA อันนี้ https://www.iamfatcat.com/wp-content/uploads/2025/08/228091.pdf” หรือดูข้อสรุปจากรายงานตามรูปที่ผมเอามา
โดยกรณีลุงพลนี้ ผมเห็นว่า ในคำพิพากษายังไม่มีผลการตรวจ DNA ของเส้นผมที่เก็บจากในรถมายืนยันว่าตรงกับเส้นผมในที่เกิดเหตุ
(มีแต่ผลการตรวจเส้นผมที่เก็บจากที่เกิดเหตุกับกระดูกน้องชมพู่ที่ระบุว่าตรงกัน) และถึงแม้ว่าตรงกันก็อาจไม่มีประโยชน์
เพราะ ป้าแต๋นที่ขึ้นรถลุงพลอยู่แล้ว กับน้องชมพู่ ก็ต้องมี mitochondria-DNA เดียวกัน
3. การตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ของเส้นผมกรณีถูกตัดจะบอกได้แค่ว่าถูกตัดด้วยอุปกรณ์ชนิดใด เช่น มีด กรรไกร
ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางระดับสากลในการตรวจเส้นผมโดยใช้กล้องจุลทรรศน์แล้วสามารถระบุอย่างชัดเจนว่า ใช้มีดหรืออุปกรณ์อันไหนตัด และใครเป็นคนตัดได้
4. ส่วนงานวิจัยเรื่องเส้นผมนี้ ” ผมชื่นชมในการพยายามทำวิจัย
แต่ผมว่ามันเป็นงานวิจัยที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะงานวิจัยนี้ใช้แค่เส้นผมของผู้วิจัยเองคนเดียวไม่มีการเปรียบเทียบกับเส้นผมคนอื่น
อุปกรณ์ที่ตัดก็อันเดียวไม่มีการใช้เครื่องมือในการตัดอื่นเพื่อเปรียบเทียบ จำนวนครั้งที่ทดลองในการตัดผมสองเส้นพร้อมกันก็แค่สี่ครั้ง
ไม่มีการให้คนอื่นๆ ตัดเพื่อเปรียบเทียบ ดังนั้นควรทำวิจัยเพิ่มมากกว่านี้ นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังตีพิมพ์ในวารสารที่เป็น predatory journal
ซึ่งเป็นวารสารที่ก่อนงานวิจัยนี้จะได้ตีพิมพ์ก็ถูกถอดออกจาก scopus จนถึงปัจจุบัน
5. การตรวจซิงโครตรอนมีที่ใช้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ใช่การระบุตัวตนโดยการเปรียบเทียบแบบนี้ เช่น ใช้ว่าเส้นผมดังกล่าว
เคยผ่านการทำสีด้วยสารอะไรมาก่อน และจากคำพิพากษาก็ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์คนตรวจทำการตรวจเส้นผมเปรียบเทียบแบบนี้เป็นครั้งแรก
ทำให้คิดได้ว่า ไม่มีงานวิจัยใดๆ ที่เคยทำเรื่องแบบนี้ นอกจากนี้ความน่าจะเป็นตั้งแต่ 60-85% ผมถือว่าต่ำมาก
เพราะตามหลักการตรวจ DNA ที่ เรายังใช้ความน่าจะเป็นที่สูงมากกว่า 99.99% ถึงจะบอกว่าเป็นคนเดียวกันได้
นอกจากนี้ จากคำพิพากษาทั้งหมด ผมยังมีประเด็นที่ยังสงสัยคือ
1. เส้นผม 2 เส้นจาก 30 เส้นที่เจอในที่เกิดเหตุมีรอยตัดตรงกับ 1 เส้นจาก 2 เส้นที่เจอในรถของลุงพล คำถามคือ แล้วเส้นผมที่เหลืออีก 28 เส้น
ที่มีรอยตัดเหมือนกัน แต่รอยตัดไม่ตรงกับ 3 เส้นนั้น คือ เส้นผมใคร ทำไมถึงเจอในที่เกิดเหตุ
ถ้าเป็นเส้นผมของคนเดียวกัน ทำไมรอยตัดไม่เหมือนกับ 3 เส้นนั้น แล้วจะเกิดปัญหาว่า 28 เส้น
ที่ไม่ตรงมันเยอะกว่ามาก ทำไมใช้แค่ 2 เส้นที่ตรงมาเอาผิด มันเป็นความบังเอิญที่ตรงกันได้ไหม
2. ทำไมไม่มีการตรวจหรือผล mitochondria-DNA ของเส้นผมที่เจอในรถ เพื่อพิสูจน์เทียบให้แน่ชัดว่าตรงกันกับเส้นผมในที่เกิดเหตุ
(แต่อาจเป็นไปได้ ว่าตรวจแล้ว ไม่เจอ DNA เพราะมันผ่านเป็นเวลานาน ทำให้ DNA เสื่อมสลาย)
สุดท้ายผมเป็นแพทย์นิติเวชและนักนิติวิทยาศาสตร์ ผมถือหลักว่า ในคดีอาญา การเอาพยานหลักฐานที่ได้มาจากการตรวจพบทางนิติวิทยาศาสตร์
ต้องไม่แปลผลพยานหลักฐานใดๆ ให้เกินจริง อะไรตอบไม่ได้ก็คือตอบไม่ได้ การแปลผลทางนิติวิทยาศาสตร์มีข้อจำกัดเสมอ
ขอบคุณข้อมูล: Smith Fa Srisont