โดยวันนี้ ที่ศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อถึงเวลานัด นายทักษิณ เดินทางมาพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร, นางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงค์, นายปิฎก สุขสวัสดิ์, นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ โดยมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช มาร่วมให้กำลังใจ
ศาลได้อ่านคำสั่ง ระบุว่า ข้อเท็จจริงฟังได้การบังคับโทษจำคุก จำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติกรรม บ่งชี้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริง หรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่นายทักษิณมีเพียงโรคประจำตัว ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง ที่รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และสภาวะร่างกายของจำเลยเอง
นอกจากนี้ยังได้ความว่านายทักษิณเข้าไปมีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอทับ กดทับไขสันหลัง และเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษารักษาโดยรับประทานยาตามอาการ และเลือกผ่าตัดนิ้วล็อค และเอ็นหัวไหล่ขวาฉีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลให้ต้องรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ต้องขยายระยะเวลาไป
นายทักษิณ จึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องกลับคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์ และ เจ้าหน้าที่ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของนายทักษิณ เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ มาหักวันคุมขัง โทษตามคำพิพากษา
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ ให้จำเลย เหลือจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ตามกำหนดโทษคำพิพากษา ดังนั้นย่อมมีผลทำให้นายทักษิณได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีกหนึ่งปี นับแต่วัน 31 ส.ค. 2566 แต่หากมีผลทำให้การบังคับโทษสิ้นสุดลงไม่
เมื่อการบังคับโทษนายทักษิณ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังที่ในคำวินิจฉัยข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจ นำเอาระยะเวลาที่ที่พักรักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้
นายทักษิณจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามมีพระบรมราชโองการ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลได้อ่านคำสั่งให้กับคู่ความรับฟังเป็นเวลาเกือบ 1 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น. ซึ่งตอนเข้าไปในห้องพิจารณาคดีนายทักษิณ มีสีหน้าที่เรียบเฉยไม่ได้มีความกังวลอะไร
มีช่วงการทักทายผู้สื่อข่าวอย่างยิ้มแย้ม และ ก่อนที่ศาลจะนั่งบัลลังก์ นางสาวแพทองธาร และนางสาวพินทองทา ได้จับมือกัน และมีบางช่วงที่นางสาวแพทองธาร ไปนั่งซบไหล่พูดคุยกับนายทักษิณ บริเวณที่นั่งของจำเลยหน้าบัลลังก์ศาล
ภายหลังอ่านคำสั่งเสร็จเจ้าหน้าที่ได้ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้อง จากการสังเกตพบว่านายทักษิณ ยังหันมายิ้มกับครอบครัวได้อยู่ เเละถอดสูท เเละเน็กไท เปลี่ยนเครื่องเเต่งกายเตรียมไปเรือนจำ