กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นในตอนนี้ กรณีมาตรการปราบปรามบัญชีม้าของภาครัฐ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์จนเกิดความวุ่นวาย โดยทางด้านของ บก.ลายจุด นักเคลื่อนไหวทางสังคมและนักการเมือง ที่รู้จักในนามผู้ก่อตั้ง มูลนิธิกระจกเงา ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงเรื่องนี้ว่า
“บัญชีม้า ณ สนามหลวง รู้หรือไม่ว่าคนที่ถูกชักชวนให้เปิดบัญชีม้ามากที่สุดและมีคนยอมทำสิ่งนี้แม้จะรู้ว่ามันเสี่ยงและผิดกฎหมายคือ คนไร้บ้านที่สนามหลวง สนามหลวงกลายเป็นชุมชนได้ด้วยปัจจัย 2 ประการคือ เป็นพื้นที่ๆมีรถเมล์ผ่านมากที่สุดแห่งหนึ่ง
เหมือนเป็นชุมสายของรถเมล์ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมาจากส่วนไหนของกรุงเทพ มักจะมีเส้นทางที่เชื่อมต่อถึงสนามหลวงได้ ประกอบกับสนามหลวงเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ทำให้ผู้คนไปใช้ชีวิตบริเวณนั้นถ้าคุณไม่มีบ้านหรืองาน
และต่อให้ปิดสนาหลวงไปแล้ว แต่การเป็นชุมชนคนไร้บ้าน ไม่ว่าจะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ไม่มีงาน หรือเพิ่งจะเดินทางมาหางานที่กรุงเทพหรือออกจากคุก สนามหลวงคือพื้นที่ๆรองรับทุกเหตุปัจจัย และที่นี่มีข้าวกล่องแจกฟรี มีคนที่อยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ไม่ต้องเคอะเขินมากนัก
ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ขบวนการนายหน้าจึงเกิดขึ้น เมื่อก่อนมีการหลอกว่าจะไปทำงานแล้วสุดท้ายเอาไปลงเรือประมง อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นพื้นที่หากินของขบวนการค้ามนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่ง น้องๆหัวลำโพง หมอชิดในอดีต
วิวัฒนาการของการหลอกแรงงานไปทำงานในเรือประมง(นอกน่านน้ำ) เริ่มกลายเป็นแรงงานต่างด้าว เพราะคนไทยเรียนรู้และกลัวถูกหลอกมากขึ้น ยุคนี้การหลอกลวงจึงกลายเป็นการเปิดบัญชีม้า และการออกรถมอเตอร์ไซค์ แล้วก็มีคนเชิดเอาไปขาย
นายหน้าที่เดินหาคนเปิดบัญชีม้าก็คนแถวนั้นแหละโดยมี จนท รัฐ เป็นคนสนับสนุนอีกที หากินกันเป็นระบบ โดยค่าเปิดบัญชีม้าเริ่มต้นที่ 500-5000 บาท จนตอนนี้ธนาคารที่อยู่ใกล้สนามหลวงไหวตัว เวลาคนที่ดูแปลกๆคล้ายคนไร้บ้านมาเปิดบัญชีพนักงานธนาคารจะสอบถามมากเป็นพิเศษ
แต่ไม่ยักมีหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบเรื่องนี้ตามมาดูขบวนการรับจ้างเปิดบัญชีม้าในพื้นที่ คนไร้บ้านหน้าใหม่มีเพิ่งขึ้นทุกวัน นายหน้าและขบวนการยังคงทำงานต่อไปภายใต้การดูแลของ จนท รัฐในพื้นที่ ทุกอย่างเป็นขบวนการ
แต่สุดท้ายไปปิดบัญชีประชาชนกันมั่วไปหมด ลองปลอมตัวไปเป็นคนไร้บ้านสัก 2-3 วัน รับรองว่ามีคนมาติดต่อให้ไปเปิดบัญชีม้า แล้วที่ออกข่าวว่ากวาดล้างมิจที่เขมร แล้วมิจที่อยู่ในไทย ใครจะกวาดล้าง เงินทั้่งนั้น”
ขอบคุณข้อมูล: สมบัติ บุญงามอนงค์